ทำไม ถ้าผมทำในส่ิงที่ผมชอบ ผมถึงทำมันได้ตลอด และลืมเรื่องสำคัญ คือ เวลา

Last updated: 2 Oct 2017  |  1991 Views  | 

ทำไม ถ้าผมทำในส่ิงที่ผมชอบ ผมถึงทำมันได้ตลอด และลืมเรื่องสำคัญ คือ เวลา

ผมเริ่มทำงาน FUR (เฟอร์นิเจอร์) ช่วงแรก ๆ ผมทำด้วยความฝืนรู้ (อยากรู้เรื่องอะไรก็ถาม) บางคนถึงขั้นรำคาญ
ถ้าไม่รู้เรื่องขนาดนี้ “เลิกทำเถอะ” โจทย์มันง่าย เป็นเพราะเรายังไม่คุ้นเคยกับสิ่งนั้น หรือ เรายังไม่ได้รอบกับสิ่งนั้นมากกว่า

ผมก็พยายาม ทำตัวคุ้นเคยทั้ง งานและคน ในเวลาพร้อม ๆ กัน สิ่งที่รับรู้ถึงความแตกต่างได้มากที่สุด คือ ความถนัด และ ความสามารถ ผมเห็นสิ่งนี้ในตัวเนื้อหาของงานและของคน

ช่วงเวลา แสนลำบาก คือ การเริ่มต้น ผมเริ่มเรียนรู้งาน เรียนรู้คน เพื่อวัตถุประสงค์อะไรบางอย่าง

เวลาทำงานปกติ คือ เปิด 08:30 น. เลิก 17:30 น. (แต่งาน Project กับสิ่งที่ผมทำ มันตรงข้ามกันไปหมด) เราไม่มีเวลาทำงานชัดเจน อันไหนสำคัญก่อน เราเริ่มลงมือทำก่อน อันไหนตกลงกับลูกค้า เราก็ทำในกรอบเงื่อนไขเวลา แม้กระทั่ง เราลืมเวลา

บางครั้ง เราทำงานกันตั้งแต่เช้า ยัน เช้า ของอีกวัน (เพื่อเงื่อนไขอะไรบางอย่าง) ทำให้เวลานอน กับ เวลาทำงานมันกลับหัวกันอยู่ แต่มันก็ได้ผลอะไรหลาย ๆ อย่าง

อาทิตย์ที่แล้ว ผมนอนเช้าทุกๆ วัน ติดต่อกัน 5 วัน (ผมเลิกงานก่อนห้างฯ เปิด 3 ชั่วโมง พร้อมกับทำความสะอาดทุก ๆ วัน) นั่นหมายถึง ผมต้องเลิกงาน ตอน 6-7 โมงเช้า

ส่งผลให้เมื่อคืน ผมนอนไม่หลับ เพราะความเคยชิน ผมเลยใช้วิธีเดิม ๆ กล่อมผม คือ ดูหนังอะไรก็ได้ ไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวตาเบลอๆ ก็หลับเอง ปรากฎว่า เมื่อคืนเปิดหนังดู Steave Jobs & Social ทั้งสองเรื่อง คือแรงบันดาลใจของผม มันเพลินมาก ๆ กับสิ่งที่ผมนั่งดู ไม่คิดแม้กระทั่งหลับ เลยเถิดจนถึงเช้า

คำถาม ผมชินกับการนอนตื่นเช้า หรือ ว่าผมดูในส่ิงที่ผมชอบ
คำตอบ ผมกำลังคิดว่า เรื่อง 2 เรื่องมันเป็นเรื่องที่ใกล้กันมาก ๆ จะให้ผมตอบเลยเหมือนจะมีข้อมูลน้อยเกินไป (เหมือนมีคนบอกว่า พรสวรรค์ กับ พรแสวง คุณคือประเภทไหน)

ผมเพิ่งจะเข้าใจ ว่า ความเคยชิน กับ สิ่งที่ชอบ มันอาจจะมีอะไรแอบแฝงอยู่ในตัว

เฟอร์นิเจอร์ คือ สิ่งที่ผมไม่ได้ชอบ แต่ผมอยู่กับสิ่งนี้จนชิน
งานออกแบบ คือ สิ่งที่ผมชอบ ผมไม่เคยรู้สึกเบื่อ เมื่อดูงานสถาปัตยกรรม หรือ นวัตกรรมใหม่ๆ

แต่เมื่อ 2 สิ่งนี้ต้องไปด้วยกันแล้ว ผมควรจะทำตัวอย่างไร

มีทางเลือกไม่มากนัก กับ Business Model นี้
ผมทำทางเลือกไว้บน ความหวัง และ ความกลัว (Hope & Fear) Business Model นี้ จึงเขียน พิมพ์เขียว ไว้ 2 ทาง

หวังที่จะได้
กลัวที่จะเสีย

กลัวที่จะได้
หวังที่จะเสีย

การซ่อนเงื่อนไข และ ตรรกะ เหล่านี้ จึงส่งผลให้ผมกลับมามองตัวเองว่า เราควรทำในสิ่งไหนก่อน

บ้างก็บอกว่า ทำตามความชอบ แล้วจะเดินต่อไปได้ (ตามที่อาจารย์หลายสำนักบอก)
บ้างก็บอกว่า ทำตามจริง คือ ทำเพื่อความอยู่รอดก่อน (พร้อมค่อยคิดการณ์ใหญ่)
—————————————————-

เรา เรียนรู้ที่จะให้ คนอื่น
ไม่ใช่เพราะเรามีเหลือ มากมาย
แต่เรียนรู้ที่จะให้เพราะรู้ดีว่า
การไม่มี มันเป็นอย่างไร?

This website uses cookies for best user experience, to find out more you can go to our Privacy Policy  and  Cookies Policy